10 ประโยชน์ของถั่ววอลนัท กินทุกวันลดคอเลสเตอรอลได้

11:26 PM
 อาหารลดคอเลสเตอรอล อีกชนิดที่ไม่ควรพลาด รู้ยังกินวอลนัททุกวันดีต่อสุขภาพมากกว่าที่คิด

          คอเลสเตอรอลเป็นสิ่งที่ร่างกายไม่ควรมีในจำนวนมาก แต่ด้วยพฤติกรรมรับประทานอาหารตามใจปากอาจทำให้เราเผลอรับ



คอเลสเตอรอลเข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่สูงเกินพอดีได้ ดังนั้นหลายคนจึงมองหาวิธีลดคอเลสเตอรอลในเลือดกันอยู่ ซึ่งจริง ๆ แล้วการลดคอเลสเตอรอลก็ไม่ได้ทำยากเกินความสามารถของเราหรอกค่ะ เพียงแค่กินถั่ววอลนัททุกวันก็ช่วยลดคอเลสเตอรอลได้แล้ว แถมยังได้ประโยชน์อื่น ๆ จากถั่ววอลนัทตามนี้ติดไปด้วย


1. ลดคอเลสเตอรอล

          ผลการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเผยว่า วอลนัทอุดมไปด้วยโฟเลท วิตามินอี และไขมันชนิดดี ที่แม้จะเป็นถั่วที่ให้แคลอรีค่อนข้างสูง แต่กลับไม่พบว่าวอลนัทเป็นส่วนเร่งน้ำหนักตัวให้เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด 

          นอกจากนี้นักวิจัยจาก Yale University Prevention Research Center ก็ได้เผยข้อมูลการทดลองมาว่า กลุ่มอาสาสมัครที่รับประทานวอลนัทจำนวน 2 ออนซ์ หรือประมาณ 56 กรัม เป็นประจำทุกวันในระยะเวลานาน 6 เดือน จะมีระดับคอเลสเตอรอลในร่างกายลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะไม่ได้คุมอาหารอื่น ๆ ร่วมด้วยเลยก็ตาม 

          ดังนั้นนักวิจัยจึงการันตีว่าวอลนัทสามารถช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือดได้จริง และจะดีมากหากรับประทานวอลนัทประมาณ 1 กำมือต่อวัน

2. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

          วอลนัทเป็นพืชตระกูลถั่วที่อุดมไปด้วยโปรตีน มีไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งนอกจากจะช่วยลดระดับของคอเรสเตอรอลแล้ว ยังช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจได้ สอดคล้องกับงานวิจัยที่ระบุว่าวอลนัทเป็นพืชตระกูลถั่วที่มีประโยชน์มากสำหรับหัวใจ อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยปกป้องเยื่อบุหลอดเลือดแดงที่อาจเกิดการอุดตันจนทำให้หัวใจวายได้อีกต่างหาก

 3. ช่วยลดน้ำหนัก

          วอลนัทปริมาณ 1 ออนซ์ หรือราว ๆ 28 กรัม มีปริมาณไฟเบอร์อยู่ 2 กรัม โปรตีน 4 กรัม และกรดไขมันโอเมก้า 3 2.5 กรัม จึงนับว่าเป็นอาหารที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังควบคุมอาหาร การรับประทานวอลนัทสัก 1 กำมือต่อวันจะช่วยให้คุณคอนโทรลแคลอรีของอาหารที่จะกินเข้าไปได้ดียิ่งขึ้น

4. ลดความเสี่ยงโรคอ้วนลงพุง

          สารต้านอนุมูลอิสระและคุณสมบัติต้านการอักเสบในวอลนัทเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยต่อต้านความเสี่ยงโรคอ้วนลงพุงได้ อีกทั้งโปรตีนและไฟเบอร์ในวอลนัทยังจะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้อง เอื้อให้คุมอาหารได้ดีขึ้น

5. ป้องกันโรคเบาหวาน

          ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ลงใน Journal of Nutrition เผยว่า อาสาสมัครที่รับประทานวอลนัทปริมาณ 28 กรัม เป็นเวลา 2 ครั้งต่อสัปดาห์ มีแนวโน้มลดความเสี่ยงโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ได้ราว24% เลยล่ะ 


6. ป้องกันความจำเสื่อม

          ดร.Abha Chauhan และคณะจาก New York State Institute ได้ทดลองให้หนูกินวอลนัทเป็นประจำและพบว่า วิตามินอีและฟลาโวนอยด์ในวอลนัทมีส่วนช่วยทำลายอนุมูลอิสระและเคมีร้ายบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับโรคสมองเสื่อม ทำให้หนูทดลองที่มีภาวะสมองเสื่อมมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

7. ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

          นักวิจัยจาก Marshall University พบว่า หากรับประทานวอลนัทเป็นประจำทุกวัน ในปริมาณไม่ต่ำกว่า 56 กรัม จะช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านมได้ โดยอ้างจากการทดลองที่ให้หนูกินวอลนัททุกวัน ซึ่งผลปรากฏว่า หนูทดลองมีแนวโน้มเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมลดลง และมีจำนวนเนื้องอกลดจำนวนลง อีกทั้งหนูที่ถูกวินิจฉัยว่ามีเนื้องอกอยู่ในตัว เนื้องอกเหล่านั้นก็มีขนาดเล็กลงด้วย

8. ลดความเครียด

          วอลนัทมีสรรพคุณเด็ดดวงตรงที่ช่วยลดความตึงเครียดได้ เพราะทั้งไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ กรดไขมันไม่อิ่มตัว โอเมก้า 3 และอัลฟา-ลิโนลินิค ที่มีอยู่ในวอลนัท เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยลดระดับความดันโลหิต แถมยังช่วยคงระดับความดันโลหิตให้อยู่ในภาวะสมดุลอีกต่างหาก

9. แก้ปัญหานอนไม่หลับ

          รู้ยังว่าวอลนัทมีเมลาโทนินอยู่ด้วยนะ และเมลาโทนินก็เป็นตัวที่คอยควบคุมนาฬิกาชีวิตของเรา ช่วยให้เรานอนหลับและตื่นได้ตามเวลาปกติ ไม่เกิดอาการนอนไม่หลับ นอนไม่พอ ดังนั้นหากจะบอกว่าวอลนัทเป็นอาหารที่ช่วยให้นอนหลับสบายก็คงไม่ผิดนัก 

10. บำรุงเชื้ออสุจิให้แข็งแรง

          ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเผยให้ทราบว่า การรับประทานวอลนัททำให้เชื้ออสุจิของผู้ชายแข็งแรงขึ้นได้จริง ๆ โดยอ้างอิงจากการสำรวจที่แบ่งผู้ชาย 2 ออกเป็นกลุ่มด้วยกัน ซึ่งผู้ชายกลุ่มแรกจะต้องรับประทานวอลนัททุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งนั้นไม่ให้รับประทานวอลนัทหรือถั่วชนิดอื่น ๆ เลย ผลปรากฏว่า เชื้ออสุจิของผู้ชายกลุ่มแรกมีความสมบูรณ์และแข็งแรงมากกว่าเชื้ออสุจิของผู้ชายกลุ่มที่สองอย่างเห็นได้ชัด

          ใครที่ไม่ไหวกับการกินกระเทียมเพื่อให้ช่วยลดคอเลสเตอรอล ลองรับประทานวอลนัทดูบ้างก็ได้นะคะ และพยายามหมั่นออกกำลังกายช่วยด้วยอีกทาง คราวนี้สุขภาพดี ๆ ที่ไม่มีคอเลสเตอรอลในเลือดเกินก็คงอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Harvard University
whfoods
thehealthsite
http://health.kapook.com/view148070.html

Artikel Terkait

Previous
Next Post »